Health

  • เล็บ สามารถบอกโรคหรือปัญหาสุขภาพอะไรได้บ้าง
    เล็บ สามารถบอกโรคหรือปัญหาสุขภาพอะไรได้บ้าง

    เล็บ สิ่งที่อยู่ทั้งบนมือและเท้าที่หลายคนมักไม่ใส่ใจ แต่ความจริงแล้วเล็บสามารถบอกโรคหรือภาวะสุขภาพบางอย่างได้ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น เล็บเหลือง เล็บเป็นดอก เปราะแตกหักง่าย ลัหษณะเหล่านี้บ่งบอกถึงภาวะสุขภาพบางอย่างได้เช่นกัน ในบทความนี้จะพาไปดูกันว่าปัญหาของเล็บแบบไหนบอโรคอะไรได้บ้าง และการรักษาให้หาย

    เล็บ

    ปัญหาของเล็บ

    ปัญหาเกี่ยวกับเล็บสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ผู้ป่วยที่ต้องล้างไต ซึ่งอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเล็บได้ง่ายกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมก็อาจนำไปสู่การเกิดอาการรุนแรงที่สามารถส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้ โดยปกติแล้ว เล็บที่สุขภาพดีจะมีสีสม่ำเสมอเท่ากัน รวมถึงมีลักษณะเรียบ ไม่มีจุด รอย หลุม หรือร่องเกิดขึ้น ส่วนเล็บที่ไม่แข็งแรงหรืออาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจสังเกตได้จากลักษณะต่างๆ

    ลักษณะของเล็บที่มีปัญหา

    • เล็บเปลี่ยนสี

    หากมีสีซีดจางลงหรือเปลี่ยนเป็นสีขาว อาจเป็นสัญญาณของการเป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โรคเกี่ยวกับตับ ภาวะขาดสารอาหาร หรือภาวะหัวใจล้มเหลว

    รวมถึงการมีดอกเล็บ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นจุดหรือเส้นสีขาว อาจเกิดจากการบาดเจ็บเล็กน้อยบริเวณเล็บที่ไม่เป็นอันตราย หรืออาจเป็นสัญญาณของการเกิดภาวะขาดสารอาหาร การติดเชื้อ หรือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดก็ได้เช่นกัน

    นอกจากนี้ หากเล็บเปลี่ยนเป็นสีอื่นๆ ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ เช่น หากมีสีเหลืองอาจเกิดจากการติดเชื้อรา การเป็นโรคไทรอยด์อย่างรุนแรง โรคปอด โรคเบาหวาน หรือโรคสะเก็ดเงิน และหากมีสีน้ำเงินหรือสีม่วงคล้ำ อาจเกิดจากร่างกายมีปริมาณออกซิเจนต่ำซึ่งอาจเป็นผลมาจากโรคหรือปัญหาเกี่ยวกับปอด หัวใจ หรือการไหลเวียนของเลือด

    • เล็บเปราะแตกหักง่าย

    โดยปกติแล้ว การที่เล็บเปราะและแตกหักง่ายอาจเกิดจากปัจจัยทั่วไป เช่น การทำงานที่ต้องใช้มือมาก การล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ขาดความชุ่มชื้น รวมถึงเมื่ออายุมากขึ้นเล็บอาจเปราะง่ายตามธรรมชาติ

    แต่ในผู้ที่ไม่ได้มีปัจจัยดังกล่าว การที่เล็บมีลักษณะแห้งเปราะและแตกหักง่ายอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะทุพโภชนาการ การขาดธาตุเหล็ก โรคเรเนาด์ (Raynaud Disease) และภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)

    • เล็บบุ๋ม

    การที่เล็บมีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม เป็นหลุม หรือเป็นรอยพรุนเล็กๆ โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน  ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่ทำให้ผิวหนังมีลักษณะแห้ง แดง และเกิดอาการระคายเคือง นอกจากนี้อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติอื่นๆ ทางร่างกายได้ด้วย เช่น โรคข้ออักเสบรีแอคทีฟ (Reactive Arthritis) และโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata)

    • เล็บปุ้ม

    เล็บปุ้มคือการที่ปลายนิ้วมือขยายใหญ่กว่าปกติทำให้มีลักษณะหนาขึ้นและมีรูปทรงโค้งงอไปตามปลายนิ้ว โดยมักจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ มักเกิดจากการที่ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับปอด โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ และโรคเอดส์ด้วย

    • เล็บเป็นคลื่น

    เล็บเป็นคลื่นหรือการที่มีลักษณะเป็นเส้นหรือร่องเล็กๆ พาดตามแนวยาวหรือแนวขวางของเล็บคล้ายกับระลอกคลื่น มักพบในผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือโรคไขข้ออักเสบในระยะเริ่มต้น และมักพบร่วมกับการที่ผิวหนังใต้เล็บเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงด้วย

    • เล็บรูปทรงช้อน

    หากเล็บมีลักษณะนิ่ม และมีรูปทรงโค้งเว้าหงายขึ้นคล้ายกับช้อน อาจเป็นสัญญาณของโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หรือเป็นสัญญาณของการเกิดภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) นอกจากนี้ อาจพบได้ในผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคแพ้ภูมิตัวเอง และโรคเรเนาด์ด้วยเช่นกัน

    นอกจากนี้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในบางกรณีอาจไม่ได้เป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับเล็บโดยตรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเช่นกัน

    ปัญหาของจมูกเล็บ

    ปัญหาของจมูกเล็บที่ได้บ่อยที่จุด คือ จมูกเล็บลอก (Hangnail) เป็นปัญหาผิวหนังเหนือโคนหรือขอบลอกเป็นเส้นแนวตั้งเข้าหาตัว สามารถเกิดขึ้นกับนิ้วใดก็ได้หรือเกิดพร้อมกันหลายนิ้วในเวลาเดียวกัน และอาการลอกของผิวหนังพบได้ตั้งแต่ 1 จุดและหลายๆ พร้อมกัน

    บางครั้งจมูกเล็บก็อาจหมายถึงเศษผิวหนังที่เกินออกมาตรงซอกเล็บ ซึ่งอาการลอกทั้งสองแบบนี้ มักสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็น และหลายคนก็อาจเลือกที่จะดึงเศษจมูกเล็บออกจนทำให้แผลขนาดใหญ่ขึ้น เจ็บมากขึ้น มีเลือดออก และเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น ทั้งบริเวณผิวหนังโคนและซอกเล็บ ซึ่งควรไปพบแพทย์และรักษาอย่างถูกต้อง แม้ปัญหาเกี่ยวกับจะจมูกเล็บจะพบได้น้อย แต่บางปัจจัยก็อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ เช่น

    • ผิวแห้งจากสาเหตุต่าง ๆ
    • การสัมผัสกับอากาศเย็นจัดหรือร้อนจัด
    • การสัมผัสกับสารเคมี อย่างน้ำยาล้างจานและผงซักฟอก
    • มือเปียกหรือแช่น้ำนาน
    • ล้างมือบ่อยเกินไปหรือใช้สบู่ที่มีฤทธิ์แรง
    • พฤติกรรมแกะเล็บและพฤติกรรมดูดนิ้ว
    • ขาดสารอาหารประเภทโปรตีน
    • ตัดเล็บไม่ถูกวิธี
    • ทำเล็บหรือตกแต่งมากเกินไป

    เล็บแบบไหนควรไปพบแพทย์

    ปัญหาเกี่ยวกับเล็บมีหลายรูปแบบ มีทั้งปัญหาทั่วไปที่อาจไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และปัญหาร้ายแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ดังนั้น หากมีลักษณะผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

    • มีการเปลี่ยนแปลงของสี รูปทรง และความหนาผิดปกติ
    • พื้นผิวมีลักษณะผิดปกติ เช่น เป็นหลุม เป็นรู มีรอยคลื่น และไม่สม่ำเสมอ
    • เล็บแยกออกมาจากผิวหนังบริเวณเล็บ
    • ผิวหนังบริเวณขอบบวม แดง มีอาการเจ็บปวด มีหนองหรือมีเลือดออก

    เนื่องจากเล็บอาจสามารถเป็นสัญญาณบอกโรคหรือปัญหาสุขภาพบางอย่างได้ การหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นให้ติดเป็นนิสัยจึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าหากความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพร้ายแรงจะได้ไปพบแพทย์และรับการรักษา รวมถึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้ด้วย

    เล็บ

    สารอาหารบำรุงเล็บให้สวยสุขภาพดี

    หากเล็บมีปัญหาสามารถเสริมสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงที่จะช่วยให้เล็บสวยสดใสได้ ดังนี้

    • วิตามินบีช่วยให้สดใส
      การรับประทานอาหารที่มีวิตามินบีจะช่วยให้เล็บที่มีปัญหาขุ่นมัวหายไปได้ เพราะวิตามินบีเป็นแหล่งสารอาหารที่ใช้ในการสร้างโฟเลตที่ช่วยบำรุงให้มีความสดใส และมีสีแดงอมชมพูมีสุขภาพดี ซึ่งแหล่งวิตามินบีที่ช่วยบำรุงเล็บ คือ ข้าวกล้อง ผักใบเขียวเข้ม ผักโขม ข้าวซ้อมมือ และพืชตระกูลถั่ว เป็นต้น
    • เคราตินช่วยให้แข็งแรง
      ปัญหาเล็บหักขาดง่ายเป็นปัญหาที่สาวๆ หลายคนพบและสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย เพราะหากเล็บไม่แข็งแรง เมื่อไว้ยาวแล้วจะมีการฉีกขาดไม่สวยงาม ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีเคราตินเข้าสู่ร่างกายจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ ทำให้สามารถไว้ยาวได้อย่างไม่มีปัญหา โดยอาหารที่ปริมาณเคราตินสูง เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ไก่ ถั่ว นับว่าสามารถช่วยเพิ่มเคราตินได้เป็นอย่างดี
    • ธาตุเหล็กทำให้ผิวเรียบเนียน
      การที่ผิวเล็บขรุขระอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่สำหรับสาวๆ แล้วทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายขาดสารธาตุเหล็ก ทำให้ไม่มีการสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไป ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กจะทำให้เล็บเรียบเนียนได้ เช่น ผักโขม เนื้อแดง เนื้อปลา เนื้อไก่ ไข่แดง เป็นต้น และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ไปด้วย
    • สังกะสีช่วยป้องกันออกดอก
      การมีดอกเล็บหรือจุดขาว นอกจากไม่ทำให้แลดูไม่สวยงามแล้ว ยังบ่งบอกว่าขาดสังกะสีจึงทำให้มีจุดขาวเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อความสวยงามควรเลือกรับประทานอาหารที่มีสังกะสีเป็นองค์ประกอบ เช่น อาหารทะเล ถั่วฝัก กระเทียม พืชหัว และธัญพืชไม่ขัดขาว ซึ่งควรรับประทานเป็นประจำและรับประทานมากขึ้นในช่วงที่มีจุดขาวเกิดขึ้น จะช่วยลดป้องกันการเกิดดอกเล็บได้เป็นอย่างดี
    • กรดไขมันช่วยให้หนียว
      การที่เล็บฉีกขาดหรือมีการลอกออกจากเนื้อเล็บ ทำให้เกิดบาดแผลกับเนื้อที่บริเวณเล็บสร้างความเจ็บปวด ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ควรรับประทานอาหารประเภทกรดไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มโปรตีน ทำให้มีความเหนียวและยืดหยุ่น ไม่ฉีกขาด ซึ่งอาหารที่มีปริมาณกรดไขมันสูง เช่น ปลาทูน่า น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed Oil) อะโวคาโด และถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

    สารอาหารที่ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อบำรุงและป้องกันปัญหาต่างๆ ของเล็บอย่างได้ผล รับรองว่ารับประทานครบแล้วเล็บของคุณจะสวยสดใสน่ามองแน่นอน

     

    เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

     

    ที่มาของบทความ

     

    ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ kashwerwaterwell.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารจานด่วนอย่างMcDonald’sของอินเดียได้อย่างไร
    ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารจานด่วนอย่างMcDonald’sของอินเดียได้อย่างไร

    เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่บริษัทฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ระดับโลกให้บริการอาหารแก่ชาวอินเดียที่เคยรับประทานอาหารจากร้านอาหารท้องถิ่น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ขยับไปสู่การผสมผสานของรสชาติระดับภูมิภาค รายงานของ Zoya Mateen และ Meryl Sebastian ของ BBC

    อาหารฟาสต์ฟู้ดแบบตะวันตก

    เป็นสิ่งแปลกใหม่เมื่อMcDonald’sเปิดร้านแรกในย่านหรูของกรุงเดลีในปี 2539

    แต่เครือยังคงยืนหยัด สร้างสรรค์สิ่งใหม่ด้วยการปรับแต่งเมนูให้เข้ากับรสนิยมของท้องถิ่น

    ดังนั้นจึงมีมายองเนสที่ไม่มีไข่ ไส้เนื้อที่ไม่มีหมูและเนื้อวัว มีจานสีที่จัดจ้านของอินเดียซึ่งแสดงออกในการแพร่กระจายมังสวิรัติที่ไม่เหมือนใคร: McAloo Tikki (เบอร์เกอร์รสเปรี้ยวที่ทำจากมันฝรั่งและถั่วลันเตา), Pizza McPuff (แซนวิชคล้าย Calzone สอดไส้พิซซ่าและชีส) และห่อเผ็ด ทำจากคอทเทจชีส

     

    ในเวลาไม่นาน ชาวเมืองก็หมดชาติ

    โลโก้สีทองที่เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทกลายเป็นที่แพร่หลายทั่วเมืองต่างๆ และเสียงกริ๊งที่ติดหู – ‘I’m lovin it’ – เป็นเครื่องเตือนใจถึงช่วงเวลาดีๆ ของหลายๆ คน

    McDonald’s ได้กลายเป็นแม่แบบสำหรับเครือข่ายอาหารฟาสต์ฟู้ดของอเมริกาที่ปรับเมนูให้เข้ากับท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังครองตลาดอินเดีย ผลลัพธ์ที่ได้: ความหลากหลายของเครื่องปรุงที่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศอินเดียจนแทบไม่มีความคล้ายคลึงกับอาหารตะวันตกดั้งเดิม

    Arvind Singhal ประธานบริษัทที่ปรึกษา Technopak กล่าวว่า “McDonald’s, KFC และ Domino’s ประสบความสำเร็จในการปรับผลิตภัณฑ์ของตนให้เข้ากับอินเดีย แม้แต่ในระดับภูมิภาค”

    ครอบครัวรับประทานอาหารที่ร้านMcDonald’sแห่งแรกของอินเดีย

    ซึ่งเปิดในปี 2539 ในเขตวิซันต์ วิหาร ชนชั้นสูง/กลาง

    ครอบครัวกำลังรับประทานอาหารที่ McDonald’s แห่งแรกในอินเดีย ซึ่งเปิดในปี 1996
    อินเดียไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับการผสมผสานของรสชาติในอาหาร

    ตั้งแต่การบดปาปาดัม (ขนมปังแบนบางกรอบ) ไปจนถึงส่วนของปายาซัม (พุดดิ้งข้าวหวาน) ในรัฐเกรละทางตอนใต้ ไปจนถึงการโรยผงพริกบนไอศกรีมฝรั่งจากร้านอัปสราไอศกรีมชื่อดังในเมืองมุมไบ

    แบรนด์ต่างประเทศปรับแต่งผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากในอินเดีย โดยเพิ่มเครื่องเทศในกรณีของอาหารเค็มหรือทำขนมหวานให้หวานกว่าที่พวกเขาอาจชอบในยุโรป นายสิงคาลกล่าว

    “ในช่วงปี 1980 เนสท์เล่ออกซอสมะเขือเทศภายใต้แบรนด์ Maggi ที่มีรสชาติ ‘เผ็ดร้อน’ และกลายเป็นที่นิยมในทันที” นายสิงคาลกล่าว “เช่นเดียวกัน บะหมี่ Maggi ออกมาพร้อมกับซองเครื่องปรุงที่หลากหลายเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดียที่กว้างขึ้นแต่มีความแตกต่างกันอย่างมาก”

    แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แบรนด์ต่างๆ ได้พยายามทดลองส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาในอาหารของตนมากขึ้นเรื่อยๆ

    Snickers ได้เปิดตัว kesar pista – หญ้าฝรั่นและพิสตาชิโอที่เป็นหัวใจสำคัญของขนมอินเดียแบบดั้งเดิม – รสชาติของช็อกโกแลตนูกัตอันเป็นเอกลักษณ์ ดังกิ้นเปิดตัวธันได เครื่องดื่มนมรสหวานแช่เย็นโรยหน้าด้วยผลไม้แห้ง กลีบกุหลาบ และหญ้าฝรั่น และแมคโดนัลด์ได้รวมไก่เนยซึ่งเป็นไก่อบรสเผ็ดและหวานที่เป็นที่นิยมไว้ในเบอร์เกอร์

    แบรนด์ท้องถิ่นอย่างพีระก็เข้าร่วมกระแสฟิวชั่นเช่นกัน โดยนำเสนอเบียร์มิลค์เชครสมะม่วง (เครื่องดื่มโยเกิร์ตรสเปรี้ยวอมหวาน)

    ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารจานด่วนอย่างMcDonald'sของอินเดียได้อย่างไรอาหารฟิวชั่นบางประเภทก็มีประสิทธิภาพ

    เช่นกัน ทำขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

    “การผสมอาหารที่ผิดปกติกลายเป็นกระแสไวรัสเมื่อบล็อกเกอร์อาหารพูดถึงและมันทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก” Karan Dua ผู้บริหารช่อง YouTube ยอดนิยม Dil Se Foodie หรือ Foodie by Heart กล่าว

    แต่การปรับแต่งแบบใหม่ๆ อาจเป็นเรื่องน่าเบื่อในประเทศที่มีอาหารท้องถิ่นทดแทนทุกอย่าง และอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า

    คิดถึงเบอร์เกอร์? มีวาดะหรือโดนัทเยิ้ม ๆ ที่ร้อนและเผ็ดจนการรับประทานพวกมันสามารถเป็นผลงานที่ไม่ธรรมดาของความอดทนในการกิน

    แฟนซีข้าวโพดคั่ว? มาลองทานเบลโปริแทนไหม ซึ่งเป็นขนมข้าวอบกรอบที่ดาราดังในบอลลีวูดต่างสาบานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ

    อย่าลืมโมโมหรือเกี๊ยวนึ่งที่โด่งดังซึ่งกลายเป็นอาหารหลักของวงการฟาสต์ฟู้ดในท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว

    Mr Dua กล่าวว่า สิ่งต่างๆ มีความซับซ้อนมากขึ้นในระดับภูมิภาค ซึ่งรสนิยมและนิสัยการกินสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกโค้งของถนน

    ปีที่แล้ว ในเมืองสุราษฎร์ ทางตะวันตกของอินเดีย เขาได้ลองดื่มชาผลไม้ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างผลไม้หั่นและชานม ในอีกส่วนหนึ่งของรัฐ เขาจำได้ว่าเคยเห็นร้านค้าที่มีสินค้ายอดนิยม ได้แก่ แซนด์วิชไอศกรีมกับชีสและเนย

    “ในรัฐคุชราต ผู้คนคุ้นเคยกับการผสมอาหารคาวกับอาหารหวาน ดังนั้นการผสมผสานเหล่านี้จึงค่อนข้างธรรมดาและเป็นที่นิยมที่นั่น แต่คงจะขายยากในเมืองอย่างเดลี” เขากล่าว

    แต่อาหารจานด่วนเป็นเพียงปลายด้านหนึ่งของสเปกตรัม

    เมื่อ Pooja Dhingra เปิดร้านขนมอบสไตล์ฝรั่งเศส Le15 ทางตอนใต้ของมุมไบ แผนของเธอนั้นง่ายมาก เธอต้องการใช้เทคนิคแบบฝรั่งเศสและรสชาติแบบอินเดีย

    สิ่งนี้นำไปสู่การผสมผสานรสชาติที่สนุกสนานมากมาย

    – มาการอง (ใบพลู) คัพเค้กชาหรือชา และเห็ดทรัฟเฟิลพริกเขียว เป็นต้น เมื่อเมนูของเธอได้รับการวิจารณ์อย่างล้นหลาม เธอก็เริ่มทำการทดลองเพิ่มเติม โดยมักจะใช้พ่อแม่ของเธอเป็นหนูตะเภาเพื่อทดลองรสชาติใหม่ๆ

    “ฉันพบว่าการดูวัฒนธรรมและประสบการณ์ชีวิตของฉันมีประโยชน์เสมอในการสร้างสรรค์เมนู บางอย่างอาจสร้างความเสียหายได้ เช่น มาการองคาลาคัตตาที่ไม่เคยได้ผล แต่ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน”

    ในภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2015 เชฟขนมอบชาวอินเดีย Pooja Dhingra โพสท่าถือถาดมาการองที่ร้านเบเกอรี่ Le15 – Patisserie ในมุมไบ

    Pooja Dhingra เปิดร้านขนมอบ Le15 โดยมีแผนจะใช้เทคนิคแบบฝรั่งเศสและรสชาติแบบอินเดีย
    เมื่ออาหารมีบุคลิกและประสบการณ์ของเชฟแล้ว คุณธิงกราก็เสริมว่า การทำตลาดก็ง่ายขึ้นมากเช่นกัน

    “สิ่งที่ฉันชอบทำคือการวางแผนเมนู Diwali ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดในโลกของฝรั่งเศสและอินเดีย” เธอกล่าว “มาการองคาจูคัทลีของเราเป็นที่นิยมอย่างมาก และในปีนี้ฉันตื่นเต้นที่จะได้รวมเบซันลัดดูไว้ในเมนูของฉัน – แน่นอนว่ามีกลิ่นอายของฝรั่งเศส!”

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา

    กางสูตรเสริมทัพ ลิเวอร์พูล พร้อมอัพเดตแข้งเป้าหมายซัมเมอร์นี้

    เรอัล มาดริด ยังคงมีความหวังในดีลของเอ็มบัปเป้ในช่วงซัมเมอร์นี้

    การนวดให้เด็ก เคล็ดลับให้ลูกน้อยผ่อนคลาย

    อิลคาย กุนโดกัน เข้าร่วมบาร์เซโลนาจากแมนฯ ซิตี้ ไม่มีค่าใช้จ่าย

    ทำความเข้าใจ Bitcoin คืออะไร?

    ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com

    แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business

    สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ kashwerwaterwell.com